เลือกใช้เครื่องมือการตลาดออนไลน์ได้ง่าย ๆ สร้างความสำเร็จให้ธุรกิจได้ชิล ๆ
ช่วงนี้ผู้เขียนมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ทำการตลาดออนไลน์ Digital Marketing หลาย ๆ ท่าน และได้รับทราบมาว่า “เครื่องมือการตลาดออนไลน์ Digital Marketing ที่ใช้อยู่ไม่เห็นได้ผลเลย” “สิ้นเปลืองเงินค่าโฆษณาไปตั้งเยอะ ไม่เห็นได้ยอดขายกลับมาเลย” เชื่อว่าหลายท่านน่าจะเคยประสบกับปัญหานี้มาบ้าง เช่นเดียวกับผู้เขียนที่ใช้เครื่องมือการตลาดออนไลน์ Digital Marketing บางอย่างก็ไม่ได้ผลลัพธ์ดีเท่าที่คาดหวัง
จากที่ผู้เขียนได้พูดคุยกับผู้ทำการตลาดออนไลน์ Digital Marketing หลาย ๆ ธุรกิจ เกือบทุกรายมีความคาดหวังว่าทำการตลาดและโฆษณาออนไลน์จะสร้างยอดขายได้เยอะเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งพอไม่ได้ยอดขายตามที่คาดหวังไว้ ก็เลยเข้าใจว่าการทำโฆษณาหรือการตลาดออนไลน์บนเครื่องมือที่ใช้อยู่ไม่ได้ผล ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เครื่องมือการตลาดออนไลน์ Digital Marketing บางอย่าง อาจจะเหมาะสำหรับการบางวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่อาจไม่ได้สร้างยอดขายได้โดยตรง เราลองมาดูกันว่าแต่ละเครื่องมือที่คนไทยนิยมใช้กัน มันเหมาะกับการทำอะไรกันบ้าง??
1. การทำการตลาดบน Search Engine (Search Engine Marketing)
การทำการตลาดบน Search Engine (Search Engine Marketing) มีข้อได้เปรียบหลัก ๆ คือ สามารถเข้าถึงคนที่กำลังค้นหาสินค้า บริการ หรือข้อมูลบางอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง ณ เวลานั้น ซึ่งหากผู้ใช้ Search Engine สามารถเจอสินค้า บริการ หรือข้อมูลที่ใช่ ก็มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดการตอบรับได้ง่ายและเร็ว ในทางทฤษฎีแล้ว เครื่องมือนี้จะใช้สำหรับปิดการขาย เพราะลูกค้ามีความสนใจอยู่แล้ว จึงมีโอกาสที่จะปิดการขายได้ง่ายกว่า โดยการทำการตลาดบน Search Engine (Search Engine Marketing) จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ แบบเสียเงิน (PPC) และไม่เสียเงิน (SEO)
อย่างไรก็ตาม การทำการตลาดบน Search Engine (Search Engine Marketing) ก็มีข้อเสียเปรียบอยู่บ้าง คือ ถ้าต้องการให้ติดอันดับดี ๆ บน Search Engine ในเวลาอันรวดเร็ว อาจจะใช้วิธีที่ต้องเสียเงิน คือ การโฆษณาแบบ PPC
แต่หากเราไม่อยากเสียเงิน การทำ SEO คือคำตอบแต่ข้อเสียคือช้าและยากมาก
2. การทำการตลาดบน Social Media (Social Media Marketing)
การทำการตลาดบน Social Media (Social Media Marketing) ซึ่ง Social Media ที่ฮิตมากสำหรับคนไทยคงหนีไม่พ้น Facebook ลองลงมาคือ YouTube, Twitter, Instagram ฯลฯ ซึ่ง Social Media มีข้อได้เปรียบหลัก ๆ คือ ความสามารถในการเข้าถึงคนจำนวนมาก และสามารถทำให้คนเห็นภาพ/Video และข้อความได้พร้อม ๆ กันในการโพสต์ 1 ครั้ง ซึ่งจะสามารถทำให้คนที่เห็นการโพสต์สามารถเห็นภาพและรับรู้รายละเอียดของสินค้าและบริการได้ในทันทีที่เห็น ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว เครื่องมือนี้จะเหมาะกับการทำให้สินค้าและบริการเป็นที่รู้จักมากขึ้น (Brand and Product Awareness) แต่หากภาพและรายละเอียดที่เห็นมีความน่าสนใจเพียงพอ ก็อาจทำให้เกิดความสนใจและตัดสินใจซื้อได้
ข้อเสียเปรียบหลัก ๆ ของการทำการตลาดบน Social Media (Social Media Marketing) คือ การเข้าถึงคนที่อาจจะไม่ได้สนใจสินค้าและบริการของเราโดยตรง เพราะธรรมชาติของผู้ใช้ Social Media คือ การเข้าดูว่าเพื่อนหรือ Connection ของตัวเองกำลังทำอะไร โดยที่ไม่ได้สนใจโฆษณาโดยตรง แต่อาจจะเห็นโฆษณาโดยบังเอิญมากกว่า นอกจากนั้นแล้ว การโพสต์แบบธรรมดา (แบบไม่ใช่โฆษณา) อาจจะเข้าถึงคนจำนวนน้อย ดังนั้น หากต้องการใช้สื่อ Social Media ในการทำการตลาดออนไลน์เป็นหลัก ควรจะต้องใช้ภาพ/video และข้อความที่ทำให้ผู้เห็นรู้สึกสนใจได้ทันทีที่เห็น
3. การทำการตลาดโดยการใช้ Chat Application
จริง ๆ แล้วการใช้ Chat Application อาจจะไม่ได้เป็นการทำการตลาดโดยตรง แต่เป็นเหมือนเครื่องมือเสริมที่หลาย ธุรกิจใช้สร้างยอดขายได้ดี เพราะข้อได้เปรียบของ Chat Application คือความสามารถในการโพสต์ภาพ/video และข้อความถึงลูกค้าแต่ละคนได้โดยตรง รวมทั้งสามารถใช้พูดคุยกับผู้ที่มีความสนใจในสินค้าและบริการได้แบบส่วนตัว 1 ต่อ 1 ทำให้ผู้ขายสามารถเข้าในถึงความต้องการของผู้ซื้อได้ และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ง่ายขึ้น จึงทำให้ขายสินค้าได้ ซึ่ง Chat Application ที่คนไทยนิยมใช้ได้แก่ Line และ Facebook Messenger
แต่ด้วยธรรมชาติของ Chat Application ก็มีข้อเสียเปรียบ คือ การต้องใช้เครื่องมืออื่น ๆ เพื่อให้รายละเอียดของสินค้าและบริการ จนสามารถกระตุ้นให้เกิดความต้องการที่จะติดต่อเข้ามาที่ Chat Application ได้