4 เหตุผลที่คนทำธุรกิจออนไลน์ต้องมีเว็บไซต์
พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ในประเทศไทยส่วนใหญ่อาจละเลยความสำคัญของช่องทางการตลาดออนไลน์ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ นั่นคือ “เว็บไซต์” เพราะหลายท่านอาจเข้าใจว่าขายของหรือทำธุรกิจบน Social Media อย่าง Facebook หรือแค่ Chat คุยกับลูกค้าทาง Line@ ก็สร้างยอดขายได้ง่าย ๆ ชิล ๆ แล้ว
แต่ตามหลักการที่ผู้เขียนมีโอกาสได้ศึกษามาจากต่างประเทศในอเมริกาและยุโรป กลับมีมุมมองที่แตกต่างไปจากการทำธุรกิจออนไลน์ในประเทศไทยอย่างมาก โดยในต่างประเทศนั้น “เว็บไซต์” คือสิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ที่จะทำธุรกิจออนไลน์จำเป็นต้องมีและใช้เป็นเครื่องมือหลักในการทำการตลาดและการขายออนไลน์ด้วย เพราะ
1. เว็บไซต์สามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือและสร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจได้
ซึ่งทำให้ขายได้ง่ายกว่า ถ้าเราลองเปรียบเทียบกับการค้าขายในช่องทาง offline แน่นอนว่าพ่อค้าแม่ค้าที่มีร้านค้าที่เป็นหลักเป็นแหล่ง สามารถค้นหาเจอได้ง่าย ร้านค้ามีหน้าตาดูดีแตกต่างจากคนอื่น มีข้อมูลสินค้าและบริการที่ครบถ้วนดูรายละเอียดได้ง่าย ลูกค้ากลับมาซื้อกี่ครั้งสินค้าก็ยังอยู่ที่เดิม มีสินค้าเพิ่มเติมก็ค้นพบได้ง่าย ย่อมได้เปรียบมากกว่าพ่อค้าแม่ค้าที่ไม่มีพื้นที่ร้านค้าเป็นหลักแหล่ง ร้านค้าโชว์สินค้าได้ไม่ชัดเจน รายละเอียดสินค้าไม่ชัด ลูกค้ากลับมาที่หน้าร้านใหม่ แต่ก็ไม่เจอสินค้าที่อยากได้ โอกาสการขายก็ลดลง จากกรณีแบบนี้ การมีเว็บไซต์ก็เปรียบเหมือนพ่อค้าแม่ค้าที่มีหน้าร้านเป็นหลักแหล่ง ซึ่งลูกค้าอาจจะเห็นร้านเป็นครั้งแรก ๆ แต่ยังไม่ซื้อ แต่หากเกิดอยากซื้อขึ้นมา ร้านก็ยังอยู่และพร้อมขาย ซื้อแล้ว ok ก็กลับมาซื้อซ้ำได้โดยที่ไม่ต้องคุยอะไรมากมาย แต่หากเป็นการขายผ่าน Facebook หรือ Chat ทาง Line อย่างเดียว กว่าจะปิดการขายได้ โปรโมทแล้วโปรโมทอีก คุยแล้วคุยอีก ดูของแล้วดูของอีก ถามแล้วถามอีก กว่าจะขายได้ก็อาจจะเหนื่อยพอสมควร
2. เว็บไซต์สามารถค้นเจอได้บน Search Engine
และเหมาะสมกับการทำโฆษณาบนระบบ Search Engine มากกว่า โดยธรรมชาติของผู้ที่ใช้ Search Engine เพื่อค้นหาสิ่งที่ต้องการ จะมีแนวโน้มที่ต้องการซื้อสินค้าและบริการตามที่ตัวเองค้นหาอยู่แล้ว ดังนั้น โอกาสในการขายจึงมีมากกว่าช่องทางอื่น ๆ ที่ลูกค้าอาจจะบังเอิญไปเจอ ad. แล้วค่อยรู้สึกสนใจ ดังนั้น การมีเว็บไซต์และการทำการตลาดบน Search Engine จึงมีแนวโน้มที่จะปิดการขายได้ง่ายกว่า
3. เว็บไซต์ช่วยให้เราได้รับรู้ข้อมูลผู้ที่เข้ามาชม
ซึ่งอาจจะเป็นลูกค้าของเราได้ในอนาคต รวมทั้งรับทราบถึงพฤติกรรมในการเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ทั้งแบบดูข้อมูลย้อนหลัง และแบบ real time กันเลย ซึ่งมันช่วยให้เราได้เตรียมตัวพูดคุยกับลูกค้าได้ในทันที รวมทั้งทำให้เราสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพในการทำการตลาดออนไลน์ในช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งช่องทาง offline ได้ด้วย โดยเว็บไซต์ของเราต้องมีการใส่ Tracking Code ของ Google Analytics และ Pixel ของ Facebook รวมทั้ง Tracking Code อื่น ๆ
4. เว็บไซต์ทำให้เราสามารถทำโฆษณากับผู้ที่เคยมาเยี่ยมชมเว็บไซต์เราได้
หรือที่เรียกว่า Remarketing ซึ่งช่วยย้ำเตือนและดึงดูดผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์เราให้มาสนใจและตัดสินใจซื้อได้ ถ้ายังไม่ซื้อ โฆษณาก็ยังตอกย้ำต่อไป หลอนไปเรื่อย ๆ แน่นอนว่าวิธีนี้ทำได้ง่าย ๆ เพียงฝัง Tracking Code ของ Google Analytics และ Pixel ของ Facebook ตามในข้อ 3 แล้วมาเซ็ทแคมเปญโฆษณาใน Google Ads (Google Adwords) และ Facebook ได้ชิล ๆ และผลลัพธ์ดีกว่าโฆษณาหาลูกค้าใหม่ไปเรื่อย ๆ แน่ ๆ